วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

การจัดการคุณภาพ (Quality Management : QM )
ความหมาย  การจัดการคุณภาพ (Quality Management)
      “การจัดการ ( Management )” มีผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้ให้ความหมายซึ่งพอสรุปได้ดังต่อไปนี้
     ดรัคเกอร์ (Drucker  : 1954 : 12)  ได้ให้ความหมายไว้ว่า การจัดการ หมายถึง ศิลปะในการทำงานให้บรรลุเป้าหมายร่วมกับผู้อื่น
    คูนตซ์ และไซริล (Koontz and Cyril. 1972 : 43) ให้ความหมายว่า การจัดการ หมายถึง การดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้โดยอาศัยปัจจัยทั้งหลาย ได้แก่ คน เงิน วัสดุสิ่งของซึ่งนับว่าเป็นอุปกรณ์ของการจัดการนั้น ๆ
     เดล (Dale. 1968 : 43) ได้กล่าวไว้ว่า การจัดการ คือ กระบวนการจัดหน่วยงานและการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
     สมคิด  บางโม (2538 :  61) มีความเห็นว่า การจัดการเป็นศิลปะในการใช้คน เงิน วัสดุอุปกรณ์ของหน่วยงานและนอกหน่วยงาน เพื่อให้หน่วยงานบรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ
“คุณภาพ (Quality)” ผู้เชี่ยวชาญทางด้านคุณภาพหลายท่านได้ให้ความหมายซึ่งพอสรุปได้ดังต่อไปนี้
       Joseph M. Juran (ค.ศ. 1960) เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของอุตสาหกรรมญี่ปุ่น เขาได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับคุณภาพไว้ดังนี้ “คุณภาพ หมายถึง ความเหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอยที่ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์หรือผู้รับบริการต้องการ (fitness for Use)”
       การจัดการคุณภาพ (Quality Management) หมายถึง การนำนโยบายมากำหนดเป็นเป้าหมายคุณภาพ จากนั้นกำหนดแผนพัฒนาคุณภาพ สำหรับการดำเนินการต่อไป ซึ่งเป็นภารกิจของผู้บริหารระดับรองลงมา
      จากความหมายที่กล่าวมาข้างต้นพอสรุปได้ว่า การจัดการคุณภาพ (Quality Management) หมายถึง การจัดการองค์กรและกิจกรรมต่างๆโดยนำนโยบายมากำหนดเป็นเป้าหมายคุณภาพ จากนั้นกำหนดแผนการพัฒนาคุณภาพ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพตรงตามความพึงพอใจและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
      จากความหมายของคำว่าคุณภาพมาสู่แนวทางการปฏิบัติการเกี่ยวกับคุณภาพ เช่น ระบบคุณภาพ การควบคุมคุณภาพ การประกันคุณภาพ หรือ การบริหารงานคุณภาพ ฯลฯ ซึงมีความหมายแตกต่างกันดังต่อไปนี้
      1 . การควบคุมคุณภาพ (Quality Control หรือ QC) หมายถึง กิจกรรมและกลวิธีการปฏิบัติเพื่อสนองความต้องการด้านคุณภาพภายในธุรกิจ โดยการตรวจสอบ การวัด และการทดสอบที่มุ่งจะควบคุมวัตถุดิบ กระบวนการ และการกำจัดสาเหตุของข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการทั้งหมด เช่น การสุ่มตัวอย่างน้ำผลไม้กระป๋องมาตรวจสอบรสชาติ การควบคุมคุณภาพเน้นการตรวจสอบและแยกแยะของดีและของเสียออกจากกัน โดยระบุเป็นร้อยละของของเสียที่พบจากล็อตการผลิต เพื่อควบคุมมิให้ของเสียมีมากเกินกว่าที่กำหนดและในปัจจุบันการควบคุมคุณภาพมุ่งเน้นที่ของเสียต้องเป็นศูนย์ (Zero Defect)
     2. การประกันคุณภาพ (Quality Assurance หรือ QA) หมายถึง การดำเนินการเพื่อสุขภาพตามระบบและแผนงานที่วางไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อที่จะมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการมีคุณภาพตามที่ลูกค้าต้องการ เช่น การดำเนินงานตามมาตรฐานคุณภาพสากล ISO 9000
     3. การบริหารคุณภาพ (Quality Management หรือ QM) หมายถึง การจัดการระบบคุณภาพโดยทุกคนที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกองค์การรับผิดชอบต่องานที่ตนเองกระทำอย่างเต็มที่เพื่อให้สินค้าและบริการเป็นไปตามต้องการของลูกค้า เช่น การใช้ระบบการบริหารคุณภาพสมบูรณ์แบบ (Total Quality Management หรือ TQM)
แนวความคิดพื้นฐานด้านการจัดการ
(The Basis of Management)
การจัดการ..คือ.
การจัดการเป็นศิลปะของการใช้บุคคลอื่น ทำ งานให้แก่
องค์การ โดยสนองตอบความต้องการ ความคาดหวัง และ
จัดโอกาสให้เขาเหล่านั้นมีความเจริญในการทำ งาน
การจัดการเป็นกระบวนการ
การวางแผน การจัดองค์การ การจัดคนเข้าทำ งาน
Planning Organizing Staffing
การควบคุม การสั่งการ
Controlling Leading
การจัดการคือกลุ่มของผู้จัดการ
ระดับสูง (Top Management)
ระดับกลาง (Middle Management)
ระดับล่าง/ระดับต้น (Lower Management)
แผ่นใส...วิชาองค์การและการจัดการ บทที่ 2 2
การจัดการ เหมือน หรือ แตกต่างจากการบริหารอย่างไร
􀁮
จ่ายงาน
การบริหาร การจัดการ
􀁯 การจัดการ
การบริหาร
􀁰
การบริหาร การจัดการ
ราชการ ธุรกิจ/เอกชน
กำหนดนโยบายดำเนินการตามนโยบาย
แผ่นใส...วิชาองค์การและการจัดการ บทที่ 2 3
การจัดการเป็นวิทยาศาสตร์ หรือ ศิลปะ.....
เป็นวิทยาศาสตร์ : เพราะองค์ความรู้ที่ได้มา มีลักษณะ
เป็นระบบ ที่ผ่านกระบวนการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
เป็นศิลปะ : เพราะเป็นการนำ ความรู้ไปประยุกต์ใช้ เพื่อให้
องค์การบรรลุผลตามวัตถุประสงค์
☯ แนวความคิดด้านการจัดการ ☯
􀁮 แนวความคิดด้านการจัดการแบบวิทยาศาสตร์
􀁯 แนวความคิดด้านการจัดการเป็นกระบวนการ
􀁰 แนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์
􀁱 แนวความคิดด้านระบบสังคม
􀁲 แนวความคิดด้านคณิตศาสตร์
􀁳 แนวความคิดด้านระบบ
แผ่นใส...วิชาองค์การและการจัดการ บทที่ 2 4
แนวความคิดด้านการจัดการแบบวิทยาศาสตร์
(Scientific Management School)
เป็นแนวความคิด ที่ได้นำ วิธีการที่มีหลักเกณฑ์ ในด้าน
การจัดการ มาจัดองค์การให้ดำ เนินไปในทิศทางที่ประสบ
ความสำ เร็จสูงสุด
Frederick Widslow Taylor : บิดาของแนวความคิด ด้าน
การจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นทฤษฎีการจัดการแบบ
คลาสสิก โดยมีหลักการของการจัดการดังนี้
􀁗 พัฒนาวิธีการทำ งานวิธีที่ดีที่สุด โดยผ่านการ
วิเคราะห์อย่างมีหลักเกณฑ์
􀁗 ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาคน ให้มีคุณ
สมบัติตรงตามงาน
􀁗 มีการร่วมมือและประสานงานร่วมกัน เพื่อลด
ความขัดแย้ง
􀁗 มีการแบ่งงานและความรับผิดชอบ ระหว่าง
ฝ่ายบริหาร และฝ่ายผลิต
แผ่นใส...วิชาองค์การและการจัดการ บทที่ 2 5
Henri L. Gantt : มีแนวคิดคล้ายๆ Taylor แต่มีความแตก
ต่างตรงที่ให้ความสนใจในความเป็นมนุษย์มากขึ้น และได้นำ
ระบบการจ่ายค่าจ้าง / โบนัส และมีการประกันค่าจ้างขั้นตํ่า
ให้คนงานด้วย
􀀽 􀀽 􀀽 􀀽 􀀽 􀀽 􀀽 􀀽 􀀽 􀀽 􀀽 􀀽
Frank B. และ Lilian Gilbreth : ได้พัฒนาแผนผังกระบวน
การไหลของงาน (Flow Process Chart) เพื่อลดเวลาสูญเปล่า
และเพิ่มผลผลิตในการทำ งาน โดยได้จำ แนกงานออกเป็น
5 งาน ดังนี้
􀁣 การปฏิบัติงาน 􀁤 การขนส่ง
􀁥 การตรวจสอบ 􀁦 การเก็บรักษา
􀁧 การส่งมอบ
แผ่นใส...วิชาองค์การและการจัดการ บทที่ 2 6
แนวความคิดด้านการจัดการเป็นกระบวนการ
(Management Process School or
Modern Operational – Management Theory)
เป็นแนวความคิดที่มองการจัดการ เป็นกระบวนการ
ทำ งาน โดยอาศัยบุคคลอื่น
Henri Fayol : มองว่าการจัดการเป็นทฤษฎีที่สามารถ
สอนและเรียนรู้ได้ โดยเกี่ยวข้องกับกระบวนการต่างๆ คือ
การวางแผน การจัดองค์การ การบังคับบัญชา
การประสานงาน และ การควบคุม ซึ่งได้กำ หนดหลักการ
ในการจัดการไว้ 14 ข้อ ดังนี้
􀂑 การแบ่งงานกันทำ ตามความถนัด
􀂑 อำ นาจหน้าที่ และ ความรับผิดชอบ
􀂑 ระเบียบวินัย / การเคารพในข้อตกลง
􀂑 เอกภาพในการบังคับบัญชา
􀂑 เอกภาพในการอำ นวยการ
􀂑 ประโยชน์ส่วนบุคคลเป็นรองจากประโยชน์ส่วนรวม
􀂑 ค่าตอบแทนที่เหมาะสมจากการทำ งาน
􀂑 การรวมอำ นาจตามความเหมาะสมกับสถานการณ์
􀂑 การจัดสายการบังคับบัญชา
􀂑 การจัดลำ ดับตามตำ แหน่งหน้าที่
􀂑 ความเสมอภาคจากผู้บังคับบัญชา
􀂑 ความมั่นคงในการทำ งาน
􀂑 ความคิดริเริ่มต่อการปฏิบัติงาน
􀂑 ความสามัคคีภายในองค์การ
แผ่นใส...วิชาองค์การและการจัดการ บทที่ 2 7
แนวความคิดด้านมนุษยสัมพันธ์
(Human Relations School)
เป็นแนวความคิดที่เชื่อว่าพฤติกรรมมนุษย์ มีบทบาท
สำ คัญในการจัดองค์การทุกองค์การ ดังนั้น กิจกรรมของ
องค์การจะประสบความสำ เร็จได้นั้นจึงต้องเข้าใจคน โดย
ทำ การศึกษามนุษย์ ซึ่งมีรากฐานมาจาก วิชาจิตวิทยา
สังคมวิทยา จิตวิทยาสังคม และ มานุษยวิทยา
Elton Mayo : บิดาของการจัดการแบบมนุษยสัมพันธ์
ได้ทำ การวิจัยโดยศึกษาทัศนคติ และ ปฏิกริยาทางจิตวิทยา
ของคนงาน ในการทำ งานตามสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
โดยสามารถสรุปเป็นประเด็นจากผลการวิจัยได้ดังนี้…..
􀁮 มององค์การว่าเป็นองค์การทางสังคม
􀁯 องค์การมีภารกิจผลิตสินค้า และ บริการ และ
สร้างความพอใจของสมาชิกในองค์การ
􀁰 พฤติกรรมมนุษย์ขึ้นอยู่กับค่านิยม และ ความเชื่อความรู้สึก
ของแต่ละคน
􀁱 สมาชิกในองค์การ ทำ งานในฐานะสมาชิกกลุ่ม
􀁲 ระดับของผลผลิตถูกกำ หนดโดยปทัสถานทางสังคมของกลุ่ม
􀁳 องค์การที่ไม่เป็นทางการจะส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม
ของคนในองค์การ
แผ่นใส...วิชาองค์การและการจัดการ บทที่ 2 8
Mary Parker Follet : จะให้ความสนใจเรื่องการจูงใจ
บุคคล และการจูงใจกลุ่ม โดยการกระตุ้นให้คนรู้สึกอยาก
ทำ งาน และ คิดว่างานที่ทำ มีความสุข ซึ่งได้เน้นเรื่องการ
ประสานงาน อันจะก่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน
ระหว่างคนงานและฝ่ายจัดการ

Abraham H. Maslow : เชื่อว่าพฤติกรรมของบุคคลเป็นผล
มาจากการสนองความต้องการตามลำ ดับขั้น ดังนี้..
􀁧 ความต้องการความสำ เร็จและมีคุณค่า
􀁦 ความต้องการเกียรติยศความภาคภูมิใจ
􀁥 ความต้องการทางด้านสังคม & ความรัก
􀁤 ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย
􀁣 ความต้องการทางด้านสรีระขั้นต้น

แผ่นใส...วิชาองค์การและการจัดการ บทที่ 2 9
แนวความคิดด้านระบบสังคม
(Social System School)
มีความสัมพันธ์กับแนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์ หรือด้าน
พฤติกรรมศาสตร์ โดย Chester I. Barnard ได้จัดลำ ดับขั้นของ
แนวความคิดด้านระบบสังคม ซึ่งสรุปได้ดังนี้...
􀁣 ก่อให้เกิดระบบการทำ งานเป็นกลุ่ม
􀁤 มีการแบ่งประเภทขององค์การออกเป็น องค์การที่มี
รูปแบบ และ องค์การไร้รูปแบบ
􀁥 ฝ่ายบริหารมีบทบาทสำ คัญในองค์การที่มีรูปแบบ
􀁦 ก่อให้เกิดภาวะผู้นำ ที่มีประสิทธิภาพด้านการบริหาร
จัดการ

แผ่นใส...วิชาองค์การและการจัดการ บทที่ 2 10
แนวความคิดด้านคณิตศาสตร์
(Mathematical School)
เป็นแนวคิดที่มุ่งใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาศึกษา
ข้อมูล เพื่อการตัดสินใจในการบริหารจัดการ โดยสามารถ
แสดงออกมาในรูปของสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ ซึ่งจะใช้
ได้ผลดีในการแก้ปัญหาทางกายภาพ หรือ การควบคุมทาง
การผลิต แต่ไม่สามารถใช้ได้กับความเข้าใจทางด้านพฤติ
กรรมมนุษย์ได้

แนวความคิดด้านระบบ
(System School)
เป็นแนวคิดด้านการจัดการที่เน้นกลยุทธ์ โดยศึกษา
ส่วนต่างๆ ของระบบ ที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน นำ มา
วางแผน มีการควบคุม และ กระบวนการตัดสินใจ โดยใช้
ข้อมูลสารสนเทศ(MIS) จัดเป็นแนวคิดที่พยายามนำ แนวคิด
การจัดการด้านต่างๆ มาหลอมรวมกัน เพื่อให้เป็นทฤษฎี
การจัดการที่สมบูรณ์
เศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม (The Industrial Economists)
ความหมายของอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรม หมายถึง การผลิตสิ่งของ ตลอดจนการแยกเอาแร่ธาตุมาใช้ประโยชน์ เพื่อ
จำหน่ายเป็นสินค้าต่อไป ซึ่งการผลิตสิ่งของนั้น เป็นการนำเอาวัตถุดิบจากธรรมชาติ มาแปรสภาพ
ให้มีมูลค่าเพิ่ม หรือใช้ประโยชน์เป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป หรือเครื่องอุปโภคบริโภค โดยมีวัตถุดิบ
คนหรือเครื่องจักร เป็นอุปกรณ์ในการผลิต ส่วนการแยกแร่ธาตุมาใช้ประโยชน์จะรวมถึง การขุดแร่
การตกแต่ง และการถลุงแร่ด้วย
นักเศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม
นัก : บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ
เศรษฐศาสตร์ : วิชาที่ว่าด้วยการเลือกหนทาง ที่จะใช้ปัจจัยการผลิตที่มีอยู่อย่างจำกัด
ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ที่มีอยู่อย่างไม่จำกัด
อุตสาหกรรม : การแปรสภาพ หรือกระบวนการผลิตซึ่งเป็นการนำวัตถุดิบจาก
ธรรมชาติมาแปรสภาพให้เป็นสินค้า โดยก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่ม แจกแจงออกเป็นค่าแรง ผลกำไร
ดอกเบี้ย และค่าเช่า ซึ่งนำไปสู่การจ้างงาน และการบริโภคเพิ่มขึ้น
นักเศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม หมายถึง ผู้ประมวลโครงการต่างๆ ในการเลือกวิเคราะห์
ความเป็นไปได้ และเป็นผู้ที่เสี่ยงในการลงทุน โดยหวังผลตอบแทนในรูปของกำไร เป็นผู้รวบรวม
ความคิด ระดมเงินทุน และปัจจัยการผลิต เพื่อผลิตสินค้าออกมาขาย และต้องเป็นผู้ที่มี
ความสามารถในการประกอบการด้วย หรือหมายถึงบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่งศึกษาถึง
วิธีการต่างๆที่จัดสรรวัตถุดิบจากธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด มาแปรสภาพให้เป็นสินค้า โดย
ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่ม และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์และสังคมมากที่สุด
การแบ่งประเภทอุตสาหกรรมในประเทศไทย
1. อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เป็นอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนเกิน 100 ล้านบาท มีการ
ดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านการบริหารและการผลิต ผู้บริหารทุกด้านมีเจ้าหน้าที่ ที่มี
ความสามารถเรียงลำดับลงไป มีคนงานเป็นพันคน ใช้เครื่องจักรอัตโนมัติเกือบทั้งระบบ เช่น
โรงงานถลุงเหล็ก โรงงงานเคมี เป็นต้น
2. อุตสาหกรรมขนาดกลาง เป็นอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนเกิน 10 ล้านบาทขึ้นไป ใช้
EC320 1
คนงานที่มีความสามารถดำเนินงาน มีเครื่องจักรบางส่วน และบางส่วนก็ยังใช้แรงงานคน
3. อุตสาหกรรมขนาดย่อม ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมขั้นพื้นฐาน มีการลงทุนไม่เกิน
2 ล้านบาท มีคนงานไม่มากนัก มีเครื่องจักรช่วยผ่อนแรงบ้าง เช่น โรงงานหีบห่อ โรงงานผลิต
ชิ้นส่วนรถยนต์ โรงกลึง เป็นต้น
4. อุตสาหกรรมในครอบครัว มักเป็นหัตถกรรม และทำในที่อยู่อาศัย ใช้แรงงานใน
ครอบครัว ว่าจ้างคนงานภายนอกบ้างเป็นครั้งคราว มีเครื่องมือง่ายๆ เป็นเครื่องผ่อนแรง เช่น
เครื่องปั้นดินเผา การแกะสลัก เป็นต้น
การแบ่งประเภทอุตสาหกรรมตามวิธีของการดำเนินงาน
1. อุตสาหกรรมสกัดจากธรรมชาติ (Extractive Industry) ได้แก่ การสกัด หรือแยก
ประเภท หรือนำเอาทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ เช่น การทำเหมืองแร่ การประมง การทำป่า
ไม้ เป็นต้น
2. อุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing Industry) หมายถึง การนำเอาวัตถุดิบจาก
อุตสาหกรรมที่สกัดจากธรรมชาติมาผลิตเป็นวัตถุดิบสำเร็จรูป หรือผลิตภัณฑ์ เช่น กระดาษ ผ้า เป็น
ต้น
3. อุตสาหกรรมการขนส่ง (Transporting Industry) ได้แก่ เดินเรือ การเดินอากาศ เป็นต้น
4. อุตสาหกรรมการบริการ (Service Industry) เช่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
อุตสาหกรรมการโรงแรม เป็นต้น
การแบ่งประเภทอุตสาหกรรมตามลักษณะการใช้
1. อุตสาหกรรมสินค้าทุน (Producer Goods Industry) หมายถึง อุตสาหกรรมสินค้า
สำหรับใช้ในการผลิต สำหรับโรงงานอื่น เช่น เครื่องจักร
2. อุตสาหกรรมสินค้าบริโภค (Consumer Goods Industry) หมายถึง อุตสาหกรรมที่ผลิต
สินค้าสำหรับการบริโภค
การแบ่งประเภทอุตสาหกรรมตามสภาพ และคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์
1. ประเภทถาวร หมายถึง อุตสาหกรรมที่ทำการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีความคงทน หรือมีอายุ
การใช้งานในระยะยาว เช่น เครื่องจักร
2. ประเภทกึ่งถาวร หมายถึง อุตสาหกรรมที่ทำการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีอายุการใช้งานใน
ระยะสั้น เช่น หลอดไฟ เสื้อผ้า ดินสอ ฯลฯ
EC320 2
3. ประเภทไม่ถาวร หรือประเภทใช้สิ้นเปลือง หมายถึง อุตสาหกรรมที่ทำการผลิต
ผลิตภัณฑ์เพื่อใช้งานเพียงครั้งเดียวก็แปรสภาพไป ไม่อาจนำมาใช้ประโยชน์ได้อีก เช่น
อุตสาหกรรมสำเร็จรูป อุตสาหกรรมปิโตรเคมี
การแบ่งประเภทอุตสาหกรรมตามลำดับ
1. อุตสาหกรรมเบื้องต้น (Primary Industry) เป็นการผลิตซึ่งใช้วัตถุดิบสำหรับใช้
ประกอบอย่างอื่น
2. อุตสาหกรรมที่สอง (Secondary Industry) คือ การนำเอาวัตถุดิบจากอุตสาหกรรม
เบื้องต้นมาทำการผลิตเป็นสินค้า
3. อุตสาหกรรมที่สาม (Tertiary Industry) ได้แก่ กิจกรรมด้านการบริการ
การแบ่งประเภทอุตสาหกรรมตามขนาด
1. อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ (Large Industry) หมายถึง อุตสาหกรรมที่ใช้เงินทุนเป็น
จำนวนมาก จะต้องมีเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ความสามารถ และมีคนงานจำนวนมาก ได้แก่
อุตสาหกรรมถลุงเหล็กกล้า อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์
2. อุตสาหกรรมขนาดกลาง (Medium Scale Industry) เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เงินทุนน้อย
กว่าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่ต้องใช้คนที่มีความรู้ความสามารถโดยเฉพาะ คนงานอาจมีจำนวน
มาก หรือน้อยแล้วแต่ขนาดการผลิตอุตสาหกรรมนั้นๆ ได้แก่ อุตสาหกรรมประกอบรถยนต์
อุตสาหกรรมทอผ้า
3. อุตสาหกรรมขนาดย่อม (Small Scale Industry) เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เงินทุนน้อยกว่า
อุตสาหกรรมขนาดกลาง และขนาดใหญ่
4. อุตสาหกรรมในครอบครัว (Cottage Industry) เป็นอุตสาหกรรมที่ทำในครอบครัว ใช้
แรงงานภายในครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ เช่น ผลิตเครื่องปั้นดินเผา จักสาน เครื่องเงิน
5. อุตสาหกรรมหัตถกรรม (Handicraft Industry) เป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตโดยช่างฝีมือ
เพียงคนเดียว หรือลูกจ้างอีกราวๆ 2-3 คน ไม่มีการแบ่งงานกันทำ ได้แก่ ช่างปั้น ช่างตีเหล็ก และ
ช่างฝีมืออื่นๆ
ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมของนักอุตสาหกรรม
1. ปัญหาทางด้านการเงิน เนื่องจากสถาบันการเงินภายในประเทศมีไม่เพียงพอ และ
สถาบันการเงินที่มีอยู่มีอัตราดอกเบี้ยสูง อัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอน ทำให้
เกิดการเสี่ยงในการลงทุน
2. ปัญหาด้านเทคโนโลยี เนื่องจากอุตสาหกรรมในประเทศขาดแคลนเทคโนโลยีที่
ทันสมัย ส่วนใหญ่เป็นเทคโนโลยีแบบเก่า ทำให้ขาดประสิทธิภาพในการผลิต การใช้แรงงาน
ค่อนข้างต่ำ และไม่มีความเข้าใจด้านเทคนิคเพียงพอ ต้องว่าจ้างชาวต่างชาติในการถ่ายทอดเทคนิค
EC320 3
3. นโยบายของรัฐบาล มีความผันผวนทางการเมืองอยู่เสมอ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
เช่น การลงทุน การวางแผนโครงการ และบางครั้งถึงกับทำให้ธุรกิจเกิดการลงทุนในที่สุด เช่น การ
ลดค่าเงิน และนโยบายด้านอุตสาหกรรมที่กำหนดออกมาก็ไม่เจาะจงให้แน่ชัด และมีการ
เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลชุดใหม่ ไม่มีหลักประกันแก่ผู้ประกอบการ
ธุรกิจว่าจะไม่โอนกิจการเป็นของรัฐ หรือรัฐจะผลิตสินค้าออกมาแข่งขันกับเอกชน ทำให้ผู้ประ-
การไม่กล้าตัดสินใจลงทุน
4. รสนิยมของผู้บริโภค ถ้าการผลิตของประเทศไม่เพียงพอกับผู้บริโภค และคุณภาพไม่ดี
พอ เป็นผลให้คนส่วนใหญ่นิยมของจากต่างประเทศ เพราะมักคิดว่าของต่างประเทศดีกว่าสินค้าที่
ผลิตในประเทศ ซึ่งเป็นการปลูกฝังค่านิยมชมชอบว่าเป็นคนใช้ของนอก
5. ความขัดแย้งกันเองภายในวงอุตสาหกรรม มีการแข่งขันทางด้านการค้า โดยมีการตัด
ราคากันเองเพื่อแย่งตลาด การลดราคาการแข่งขันทำให้บริษัทต่างๆ ต้องขาดทุนและล้มเลิกกิจการ
ไปในที่สุด ความขัดแย้งทางด้านนโยบายไม่ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน
6. การกระจายอุตสาหกรรม หรือความคิดความเข้าใจในอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมส่วน
ใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเลียนแบบ ไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตนเอง การทำอุตสาหกรรมก็มีขอบเขต
จำกัด แนวคิดที่ปรับปรุงศึกษาไม่มี ไม่คำนึงถึงความเหมาะของอุตสาหกรรมนั้นๆ ไม่มีการวางแผน
อุตสาหกรรม
7. การขาดแคลนกำลังคนในภาคอุตสาหกรรม การขาดแคลนแรงงานที่มีความรู้ ความคิด
ริเริ่มทางด้านอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่มีรสนิยมในการรับราชการ ไม่มีความรับผิดชอบงาน ไม่มีการ
ฝึกให้เกิดความรับผิดชอบ ยกย่องบารมีมากกว่าคุณธรรม
8. การขาดแคลนปัจจัยพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ การสาธารณูปโภคต่างๆ ไม่ได้
เอื้ออำนวยความสะดวกแก่อุตสาหกรรมอย่างเพียงพอ เช่น ถนน ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ เป็นต้น
9. ขาดแคลนวัตถุดิบ อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ต้องพึ่งวัตถุดิบ เครื่องจักร อุปกรณ์ น้ำมัน
เชื้อเพลิงจากต่างประเทศในอัตราค่อนข้างสูง ซึ่งทำให้เกิดปัญหาขาดดุลการค้ามาตลอด
10. ปัญหาการกระจุกของอุตสาหกรรม ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียแก่ผู้ลงทุน เพราะต้องลงทุนใน
ต่างจังหวัด ก็มีปัญหาทางด้านคมนาคมขนส่ง ตลาดแรงงาน และตลาดผู้บริโภค ดังนั้นการที่จะเกิด
การกระจุกตัวอยู่แต่กรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง จะไม่เกิดการพัฒนาประเทศไปสู่ภูมิภาค ส่วน
ด้านผู้ลงทุนเองก็ไม่กล้าเสี่ยงในการลงทุนในส่วนภูมิภาค แม้ว่าจะอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ
EC320