วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

ทฤษฎีองค์การและการจัดการ


ทุกองค์การไม่ว่าจะมีขนาด ประเภท หรือสถานที่ตั้งอย่างไร จำเป็นต้องมีการจัดการที่ดี ซึ่งการจัดการที่ดีเป็นจุดเริ่มต้นของการดําเนินงานขององค์การ การเติบโตและการดํารงอยู่ต่อไปของ องค์การ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์การในยุคศตวรรษที่21 ซึ่งต้องเผชิญกับ ปัจจัยแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม เศรษฐกิจ โลกาภิวัตน์ และเทคโนโลยี ทําให้องค์การต้องมีแนวทางในการจัดการที่ทันสมัยเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้ เพื่อให้เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการสมัยใหม่ ในบทนี้จะได้นำเสนอหัวข้อเกี่ยวกับเรื่อง องค์การสมัยใหม่ ความหมายของการจัดการ ขบวนการจัดการ บทบาทของการจัดการ คุณสมบัติของนักบริหารที่ประสบความสำเร็จ
องค์การสมัยใหม่ (Modern organization)
การจัดการเกิดขึ้นในองค์การ และในมุมมองด้านการจัดการ องค์การหมายถึง การที่มีคนมาทํางานร่วมกันอย่างเป็นระบบเพื่อให้ได้บรรลุเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งองค์การมีลักษณะร่วมกันอยู่ 3 ประการ ได้แก่
1) ทุกองค์การต้องมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของตนเอง
2) ทุกองค์การต้องมีคนร่วมกันทํางาน
3) องค์การต้องมีการจัดโครงสร้างงานแบ่งงานหน้าที่รับผิดชอบของคนในองค์การ


ตามที่กล่าวข้างต้นจะเห็นว่าองค์การปัจจุบันต้องเผชิญกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย
ู่ตลอดเวลาดังนั้นองค์การต้องมีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอแนวคิดเกี่ยวกับองค์การในแบบเดิมกับองค์ การสมัยใหม่ก็มีความแตกต่างกันเช่นการจัดการแบบคงเดิมกับแบบพลวัตรรูปแบบไม่ยืดหยุ่นกับ แบบยืดหยุ่นการเน้นที่ตัวงานกับเน้นทักษะการมีสถานที่ทำงานและเวลาทำงานที่เฉพาะคงที่กับการทํางานได้ทุกที่ทุกเวลา   
องค์การแบบเดิมจะมีลักษณะการจัดการที่คงเดิมไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบ้างก็เป็นในช่วงสั้นๆแต้องค์การปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาจะมีความคงที่บ้างเป็นช่วงสั้นๆจึงมีการจัดการแบบพลวัตรสามารถปรับเปลี่ยนให้สอดรับกับการเปลี่ยน แปลงของสิ่งแวดล้อมตลอดเวลาองค์การแบบเดิมมักมีการจัดการแบบไม่ยืดหยุ่นส่วนในองค์การ สมัยใหม่จะมีการจัดการที่ยืดหยุ่นกล่าวคือในองค์การสมัยใหม่จะไม่ยึดติดกับแนวทางปฏิบัติอย่าง ใดอย่างหนึ่งเท่านั้นต้องให้มีความยืดหยุ่นในการปฏิบัติสามารถปรับเปลี่ยนได้ถ้าสถานการณ์แตก ต่างไป
องค์การแบบเดิมลักษณะของงานจะคงที่ พนักงานแต่ละคนจะได้รับมอบหมายงานเฉพาะ และทํางานในกลุ่มเดิมไม่ค่อยเปลี่ยนแต่ในองค์การสมัยใหม่พนักงานต้องเพิ่มศักยภาพของตนที่จะ เรียนรุ้และสามารถทํางานที่เกี่ยวข้องได้รอบด้านและมีการสับเปลี่ยนหน้าที่และกลุ่มงานอยู่เป็นประจําตัวอย่างเช่นในบริษัทผลิตรถยนต์พนักงานในแผนกผลิตต้องสามารถใช้งานเครื่องจักรที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ได้ด้วย ซึ่งในคำบรรยายลักษณะงาน (job description) เดียวกันนี้เมื่อ 20 ปก่อนไม่มีการระบุไว้ดังนั้นในองค์การสมัยใหม่จะพัฒนาบุคลากรให้เพิ่มทักษะการทํางานได้หลาก หลายมากขึ้นและในการพิจารณาค่าตอบแทนการทํางาน(compensation)ในองค์การสมัยใหม่มี แนวโน้มที่จะตอบแทนตามทักษะ(skillbased)ยิ่งมีความสามารถในการทํางานหลายอย่างมากขึ้นก็ได้ค่าตอบแทนมากขึ้น แทนการให้ค่าตอบแทนตามลักษณะงานและหน้าที่รับผิดชอบ (job based)
องค์การแบบเดิม พนักงานจะทํางานในสถานที่ทํางานและเป็นเวลาที่แน่นอน แต่ในองค์สมัยใหม่มีแนวโน้มที่จะให้อิสระกับพนักงานในการทํางานที่ใดก็ได้เมื่อไรก็ได้ แต่ต้องได้ผลงานตามที่กําหนดเนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีเอื้อให้สามารถสื่อสารถึงกันได้แม้ทํางานคนละแห่งรวมทั้งความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและโลกาภิวัตน์ทําให้คนต้องทํางานแข่งกับเวลามากขึ้นจนเบียดบังเวลาส่วนตัวและครอบครัวดังนั้นองค์การสมัยใหม่จะให้เกิดความยืดหยุ่นในการทํางานทั้งเรื่องเวลาและสถานที่เพื่อให้สอดรับกับแนวโน้มวิถีการดําเนินชีวิตของพนักงานยุคใหม่
ความหมายของการจัดการ (Defining management)
การจัดการ(Management)หมายถึงขบวนการที่ทําให้งานกิจกรรมต่างๆสําเร็จลงได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลด้วยคนและทรัพยากรขององค์การ (Robbins and DeCenzo, 2004; Certo, 2003) ซึ่งตามความหมายนี้องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ ได้แก่ ขบวนการ (process) ประสิทธิภาพ (efficiency) และประสิทธิผล (effectiveness) ขบวนการ (process) ในความหมายของการจัดการนี้หมายถึงหน้าที่ต่างๆด้านการจัดการ ได้แก่ การวางแผน การจัดองค์การ หน้าที่และขบวนการจัดการ
ประสิทธิภาพ (efficiency) และประสิทธิผล (effectiveness)
เป็นเรื่องเกี่ยวกับลักษณะของ การจัดการ โดยประสิทธิภาพ หมายถึง การทํางานอย่างถูกวิธี เป็นการเปรียบเทียบระหว่างปัจจัยนําเข้าinputs)กับผลผลิต(outputs)หากเราสามารถทํางานได้ผลผลิตมากกว่าในขณะที่ใช้ปัจจัยนําเข้าน้อยกว่าหรือเท่ากันก็หมายความว่าเราทํางานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า ซึ่งปัจจัยนําเข้าในการจัดการก็คือทรัพยากรขององค์การ ได้แก่ คน เงิน วัตถุดิบ อุปกรณ์ เครื่องจักร และทุน ทรัพยากรเหล่านี้มีจํากัด และเป็นต้นทุนในการดําเนินงานขององค์การ ดังนั้นการจัดการที่ดีจึงต้องพยายามทําให้มีการใช้ทรัพยากรน้อยที่สุดและให้เกิดผลผลิตมากที่สุด


ประสิทธิผล(effectiveness)สําหรับประสิทธิผลในการจัดการหมายถึงการทําได้ตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงคที่กําหนดไว้ การจัดการที่มีเพียงประสิทธิภาพนั้นยังไม่เพียงพอต้องคำนึงว่า ผลผลิตนั้นเป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดไว้หรือไม่ตัวอย่างเช่นสถาบันศึกษาที่ผลิตผู้สําเร็จการศึกษาพร้อมกันที่ละมากๆหากไม่คำนึงถึงคุณภาพการศึกษาก็อาจจะได้แต่ประสิทธิภาพคือใช้ทรัพยากรในการผลิตหรือต้นทุนต่อผู้เรียนตํ่า แต่อาจจะไม่ได้ประสิทธิผลในการศึกษา เป็นต้น และ ในทางกลับกันหากทํางานที่ได้ประสิทธิผลอย่างเดียวก็ไม่ได้ต้องคำนึงถึงต้นทุนและความมีประสิทธิภาพด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น บริษัท Hewlett-Packard อาจจะทําตลับหมึกสีสําหรับเครื่อง Laser printer ที่มีสีเหมือนจริงและทนนานมากกว่าเดิมได้ แต่ต้องใช้เวลา แรงงาน และวัตถุดิบที่สูงขึ้นมาก ทางด้านประสิทธิผลออกมาดี แต่นับว่าไม่มีประสิทธิภาพ เพราะต้นทุนรวมสูงขึ้นมาก เป็นต้น


นการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลนั้นต้องอาศัยความเข้าใจในสาขาวิชาอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ด้านมนุษย์ศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ปรัชญา การเมือง จิตวิทยา และ สังคมศาสตร์ เพื่อให้เข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ ความได้เปรียบในการแข่งขัน การคาเสรี ความขัดแย้ง การใช้อํานาจ และความสัมพันธ์ของมนุษย์ในสังคม
ขบวนการจัดการ (Management process)
ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 Henri Fayol ได้เสนอไว้ว่า ผู้จัดการหรือผู้บริหารทุกคนต้อง ทํากิจกรรมเกี่ยวกับการจัดการ หรือที่เรียกว่า ขบวนการจัดการ 5 อย่าง ได้แก่ การวางแผน (planning) การจัดองค์การ (organizing) การสั่งการ (commanding) การประสานงาน (coordinating) และการควบคุม(controlling)(เขียนย่อว่าPOCCC)และต่อมาในช่วงกลางปทศวรรษ 1950 นักวิชาการจาก UCLA ได้ปรับมาเป็น การวางแผน (planning) การจัดองค์การ(organizing) การจัดการพนักงาน (staffing) การสั่งการ (directing) และการควบคุม (controlling) (เขียนย่อว่า POSDC)ซึ่งขบวนการจัดการ5ประการ(POSDC)อันหลังนี้เป็นที่นิยมใช้เป็นกรอบในการเขียนตํารามากว่า 20 ป และต่อมาในช่วงหลังนี้ได้ย่อขบวนการจัดการ 5 ประการนี้ เป็นหน้าที่พื้นฐาน 4 ประการ ได้แก่ การวางแผน(planning)การจัดองค์การ(organizing)การโน้มนํา(leading/influencing) และการควบคุม(controlling)อย่างไรก็ตามงานในแต่ละส่วนของขบวนการจัดการที่กล่าวข้างต้นนี้มีความสัมพันธ์และมีผลกระทบซึ่งกันและกัน ประกอบด้วย
การวางแผน (planning)
เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกําหนดเป้าหมายขององค์การสร้างกลยุทธ์เพื่อแนวทางใน การดําเนินไปสู่เป้าหมายและกระจายจากกลยุทธ์ไปสู่แผนระดับปฏิบัติการโดยกลยุทธ์และแผนใน แต่ละระดับและแต่ละส่วนงานต้องสอดคล้องประสานกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในส่วนงานของตน และเป้าหมายรวมขององค์การด้วย
การจัดองค์การ(organizing)
เป็นกิจกรรมที่ทําเกี่ยวกับการจัดโครงสร้างขององค์การโดยพิจารณาว่าการที่จะทําให้ได้บรรลุตามเป้าหมายที่กําหนดไว้นั้นต้องมีงานอะไรบ้างและงานแต่ละอย่างจะสามารถจัดแบ่งกลุ่มงานได้อย่างไรมีใครบ้างเป็นผู้รับผิดชอบในแต่ละส่วนงานนั้นและมีการรายงานบังคับบัญชาตามลําดับขั้นอย่างไร ใครเป็นผู้มีอํานาจในการตัดสินใจ
การโน้มนําพนักงาน (leading/influencing)
เป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดการให้พนักงานทํางาน อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ซึ่งต้องใช้การประสานงานการติดต่อสื่อสารที่ดีการจูงใจในการทํางานผู้บริหารต้องมีภาวะผู้นําที่เหมาะสม ลดความขัดแย้งและความตรึงเครียดในองค์การ
การควบคุม (controlling)
เมื่อองค์การมีเป้าหมาย และได้มีการวางแผนแล้วก็ทําการจัดโครงสร้างองค์การ ว่าจางพนักงานฝึกอบรมและสร้างแรงจูงใจให้ทํางานและเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งต่างๆจะดําเนินไปตามที่ควรจะเป็นผู้บริหารก็ต้องมีการควบคุมติดตามผลการปฏิบัติการและเปรียบเทียบผลงานจริงกับเป้าหมายหรือมาตรฐานที่กําหนดไว้หากผลงานจริงเบี่ยงเบนไปจากเป้าหมายก็ต้องทําการปรับให้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งขบวนการติดตามประเมินผล เปรียบเทียบ และ แก้ไขนี้ก็คือขบวนการควบคุม
บทบาทของการจัดการ (Managerial roles)
เมื่อกล่าวถึงหน้าที่ที่เกี่ยวกับการจัดการในองค์การมักมุ่งไปที่หน้าที่ต่างๆในขบวนการจัดการ 4ประการ(การวางแผนการจัดองค์การการโน้มนําและการควบคุม)ดังที่กล่าวข้างต้นซึ่งผู้บริหารแต่ละคนให้ความสําคัญและเวลาในการทําหน้าที่การจัดการเหล่านี้แตกต่างกันนอกจากนี้ยังขึ้นกับลักษณะการดําเนินงานขององค์การที่แตกต่างกันด้วย(เช่นมีลักษณะการดําเนินงานเป็นองค์การที่แสวงหากําไรหรือองค์การที่ไม่แสวงหากําไร) ระดับของผู้บริหารที่ต่างกัน (ระดับต้น ระดับกลาง ระดับสูง) และขนาดขององค์การที่ต่างกันตัวอย่างเช่นผู้บริหารที่อยู่ในระดับบริหารที่แตกต่างกันจะให้เวลาในการทํากิจกรรมของแต่ละหน้าที่แตกต่างกันและเมื่อพิจารณาถึงกิจกรรมของผู้บริหารในองค์การแล้ว Mintzbergเห็นว่าบทบาทของการจัดการสามารถจัดแบ่งได้เป็น3กลุ่มหรือที่เรียกว่าบทบาทด้านการจัดการของ Mintzberg (Mintzberg’s managerial roles) ได้แก่ บทบาทด้านระหว่างบุคคล (interpersonal roles) บทบาทด้านข้อมูล (informational roles) และบทบาทด้านการตัดสินใจ (decisional roles) โดยแต่ละกลุ่มของบทบาทมีบทบาทย่อยดังต่อไปนี้
บทบาทระหว่างบุคคล (interpersonal roles) เป็นบทบาทด้านการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ประกอบด้วย บทบาทย่อย ได้แก่
1) บทบาทตามตําแหน่ง (figurehead): ทําหน้าที่ประจําวันต่างๆตามระเบียบที่เกี่ยวกับกฎหมาย หรือตามที่สังคมกําหนด เช่น การต้อนรับแขกขององค์กร ลงนามในเอกสารตามกฎหมาย เป็นต้น
2) บทบาทผู้นํา (leader): ต้องรับผิดชอบสร้างแรงจูงใจและกระตุนการทํางานของพนักงาน รับผิดชอบในการจัดหาคน ฝึกอบรม และงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
3) บทบาทการสร้างสัมพันธภาพ (liaison): โดยสร้างเครือข่ายภายในและภายนอกเพื่อการ กระจายข้อมูลให้ทั่วถึง
บทบาทด้านข้อมูล (informational roles) เป็นบทบาทด้านการกระจายและส่งผ่านข้อมูล ประกอบด้วย บทบาทย่อย ดังนี้
4) เป็นผู้ติดตามประเมินผล (monitor): เป็นการติดตามเลือกรับข้อมูล (ซึ่งมักจะเป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน) เพื่อเข้าใจความเคลื่อนไหวขององค์การและสิ่งแวดล้อม เป็นเสมือนศูนย์กลางของ ระบบ
5) เป็นผู้กระจายข้อมูล (disseminator): รับบทบาทส่งผ่านข้อมูลไปยังพนักงานในองค์การ บางข้อมูลก็เกี่ยวกับข้อเท็จจริง บางข้อมูลเกี่ยวกับการแปลผลและรวบรวมความแตกต่างกันที่เกิดขึ้นในองค์การ
6) เป็นโฆษก (spokesperson): ทําหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ส่งต่อข้อมูลไปยังหน่วยงานภายนอก เกี่ยวกับ แผนงาน นโยบาย กิจกรรม และผลงานขององค์การ เช่น เป็นผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม
บทบาทด้านการตัดสินใจ (decisional roles) ทําหน้าที่ตัดสินใจในการดําเนินงานขององค์การ ประกอบด้วยบทบาทย่อย ดังนี้
7) เป็นผู้ประกอบการ (entrepreneur): หาโอกาสและริเริ่มสิ่งใหม่ๆ เช่น การปรับปรุงโครงการ เพื่อนําไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ให้คำแนะนําเกี่ยวกับการออกแบบโครงการ โดยการจัดให้มีการทบทวนและกําหนดกลยุทธ์เพื่อพัฒนาโปรแกรมใหม่ๆ
8) เป็นผู้จัดการความสงบเรียบร้อย (disturbance hander): รับผิดชอบแก้ไขการดําเนินงานเมื่อองค์การเผชิญกับความไม่สงบเรียบร้อย โดยการทบทวนและกําหนดกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับความไม่สงบและวิกฤติการณ์ในองค์การ
9) เป็นผู้จัดสรรทรัพยากร (resource allocator): เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดสรรทรัพยากรต่างๆในองค์การ เช่น ทําการตัดสินใจและอนุมัติในประเด็นที่สําคัญต่างๆขององค์การ โดยจัดลําดับ และกระจายอํานาจ ดูแลกิจกรรมที่เกี่ยวกับเรื่องงบประมาณ และจัดการเกี่ยวกับการทํางานของพนักงาน
10) เป็นผู้ต่อรอง (negotiator): รับผิดชอบในการเป็นตัวแทนต่อรองในเรื่องสําคัญขององค์การ เช่น มีส่วนร่วมในการทําสัญญากับสหภาพแรงงานขององค์การ หรือการต่อรองกับผู้จัดหา (suppliers)
ทักษะของนักบริหาร (Management Skills)
ผู้บริหารไม่ว่าจะอยู่ในระดับใด หรืออยู่ในองค์การใดก็ทําหน้าที่ในการจัดการ 4 อย่าง ได้ แก่ การวางแผน (planning) การจัดองค์การ (organizing) การโน้มนํา (leading/influencing) และการควบคุม(controlling)และการที่ผู้บริหารจะสามารถทําหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการได้ประสบผลสําเร็จนั้นต้องมีทักษะที่ดีด้านการจัดการซึ่งทักษะสําคัญในเบื้องต้นที่ผู้บริหารควรมีอย่างน้อย 3อย่างได้แก่ทักษะด้านเทคนิค(technicalskills)ทักษะด้านคน(humanskills)และทักษะด้านความคิด (conceptual skills)
ทักษะด้านเทคนิค (technical skills) เป็นความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรุ้และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเกี่ยวกับงาน สําหรับผู้บริหารระดับสูงทักษะความสามารถนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรุ้ทั่วไปของอุตสาหกรรม ขบวนการและผลิตภัณฑขององค์การ และสําหรับผู้บริหารระดับกลางและระดับต้น จะเป็นทักษะความสามารถเฉพาะด้านในงานที่ทํา เช่น การเงิน ทรัพยากรบุคคล เทคโนโลยีสารสนเทศ การผลิต ระบบคอมพิวเตอร์ กฎหมาย การตลาด เป็นต้น ทักษะทางด้านเทคนิคมักเป็นความสามารถเกี่ยวกับตัวงาน
ทักษะด้านคน (human skills) เป็นทักษะในการทําให้เกิดความประสานงานกันของกลุ่มที่ผู้บริหารนั้นรับผิดชอบ เป็นการทํางานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทัศนคติ การสื่อสาร และผลประโยชน์ของบุคคลและกลุ่ม เป็นทักษะการทํางานกับคน


ทักษะด้านความคิด (conceptual skills) เป็นความสามารถในการมององค์การในภาพรวม ผู้บริหารที่มีทักษะด้านความคิดจะสามารถเข้าใจความสัมพันธ์ของหน่วยงานต่างๆในองค์การว่ามีผลต่อกันอย่างไร และเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับปัจจัยแวดล้อมองค์การ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงในส่วนหนึ่งขององค์การมีผลกระทบกับส่วนอื่นๆอย่างไร
ทักษะด้านความคิดนี้จะยิ่งมีความสําคัญมากขึ้นเมื่ออยู่ในระดับบริหารที่สูงขึ้น ขณะที่ทักษะด้านเทคนิคจะมีความสําคัญน้อยลงในระดับบริหารที่สูงขึ้นเนื่องจากผู้บริหารในระดับที่สูงจะเข้ามาดูแลในรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆในการผลิตและด้านเทคนิคน้อยลงแต่จะเน้นไปที่การมองภาพรวมขององค์การและทิศทางที่จะพัฒนาไปขององค์การมากกว่า ส่วนทักษะด้านคน ยังคงมีความสําคัญอย่างมากในทุกระดับของการบริหาร เพราะทุกระดับต้องเกี่ยวข้องกับคน
กิจกรรมของนักบริหาร (Managerial Activities)
มีการศึกษาเกี่ยวกับกิจกรรมที่ทําของนักบริหารในแต่ละวันว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่ซึ่งผลจากการศึกษาพบว่านักบริหารที่ประสบความสําเร็จในหน้าที่การงานและได้รับการเลื่อนตําแหน่งอย่างรวดเร็วจะให้ความสําคัญกับกิจกรรมที่ต่างไปจากนักบริหารที่มีประสิทธิผลที่มีผลงานทั้งด้านปริมาณและคุณภาพเป็นไปตามเป้าหมาย และเป็นที่ชื่นชอบของผู้ใตบังคับบัญชา โดยการศึกษาของ Luthans และคณะ (Robbins, 2003) พบว่า กิจกรรมที่นักบริหารส่วนใหญทําสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่
1) การจัดการแบบเดิม (traditional management) เช่น การตัดสินใจ การวางแผน และ การควบคุม
2) การติดต่อสื่อสาร (communication) เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลประจําวัน และทํางานเอกสาร
3) การจัดการด้านทรัพยากรบุคคล (human resource management) เช่น การจูงใจ การสร้างวินัย จัดการความขัดแย้ง งานบุคคล และ การฝึกอบรม
4) การสร้างเครือข่าย (networking) เช่น การเข้าสังคม เล่นการเมืองในองค์การ และมีกิจกรรมร่วมกับหน่วยงานภายนอก
ซึ่งจากการศึกษาในผู้บริหารจํานวน 450 คน เกี่ยวกับกิจกรรมทั้ง 4 ประเภทดังกล่าว พบว่าผู้บริหารทั่วๆไปโดยเฉลี่ยแล้วจะใช้เวลาประมาณ32เปอร์เซ็นต์ของเวลาในการทํางานกับกิจกรรมประเภทการจัดการแบบเดิม ใช้เวลาประมาณ 29เปอร์เซ็นต์กับกิจกรรมเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร 20 เปอร์เซ็นต์กับกิจกรรมด้านบริหารทรัพยากรบุคคล และ19 เปอร์เซ็นต์กับการสร้างเครือข่าย ซึ่งการใช้เวลาและการให้ความสําคัญกับกิจกรรมทั้ง 4 นั้นมีความแตกต่างกันไปในผู้บริหารแต่ละคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้บริหารที่ประสบความสําเร็จจะใช้เวลาในกิจกรรมต่างๆไม่เหมือนกับผู้บริหารที่มีประสิทธิผลกล่าวคือผู้บริหารที่ประสบความสําเร็จจะให้เวลาส่วนใหญกับการสร้างเครือข่ายและให้เวลากับการบริหารทรัพยากรบุคคลน้อยที่สุดขณะที่ผู้บริหารที่มีประสิทธิผลจะให้เวลาส่วนใหญกับการติดต่อสื่อสารและให้เวลากับการสร้างเครือข่ายน้อยที่สุด
ผลจากการศึกษาสะทอนให้เห็นว่า ในทางปฏิบัติจริง การให้รางวัลบางครั้งก็ไม่ได้เป็นไป ตามผลการปฏิบัติงานทั้งหมด ปัจจัยด้านสังคม และการเมืองในองค์การก็เข้ามามีอิทธิพลต่อการ ดําเนินงานในองค์การด้วย
จริยธรรมของนักบริหาร (Management Ethics)
แนวทางการปฏิบัติตนด้านการเมืองในองค์การอย่างมีจริยธรรม ควรต้องคำนึงถึงใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1) ประโยชน์ของส่วนรวม 2) สิทธิส่วนบุคคล 3) ความยุติธรรม กล่าวคือ ใน
ประเด็นที่ 1 การกระทําที่เป็นการเล่นการเมืองในองค์การนั้น เพื่อประโยชน์ส่วนตน หรือประโยชน์ส่วนรวม หากเป็นไปเพื่อเป้าหมายขององค์การ ก็เป็นการกระทําที่ไม่ขัดกับจริยธรรม แต่ถ้าเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตนก็ถือว่าเป็นการกระทําที่ไม่มีจริยธรรมตัวอย่างเช่นสร้างข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงว่าการจัดซื้อแบบอิเลคโทรนิคขององค์การมีทุจริตเพื่อให้เกิดความไม่ไว้วางใจในฝายจัดซื้อและระบบการจัดซื้อแบบอิเลคโทรนิคนับเป็นการกระทําที่ไม่มีจริยธรรมเนื่องจากไม่เป็นผลประโยชน์ต่อองค์การแต่หากฝายซอมบํารุงทําดีเป็นพิเศษกับฝายจัดซื้อเพื่อให้ฝายจัดซื้อเร่งทํางานจัดซื้ออุปกรณ์อย่างถูกต้องโปรงใสมาให้ทันการใช้งานขององค์การ ก็ไม่ขัดกับจริยธรรมคือองค์การโดยรวมได้ประโยชน์
ในประเด็นที่สองเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคลหากการกระทําเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือสิทธิที่ควรมีของผู้อื่นก็เป็นการขัดจริยธรรมตัวอย่างเช่นหากผู้จัดการฝายซอมบํารุงเข้าไปกาวก่ายงานฝายจัดซื้อเพื่อให้เขาทําให้เร็วขึ้นก็ไม่ใช่การกระทําที่มีจริยธรรมและในประเด็นสุดทายเป็นเรื่องความยุติธรรมกล่าวคือการกระทํานั้นก่อให้เกิดความเท่าเทียมกันความยุติธรรมหรือไม่หากเป็นการกระทําที่ทําให้บางคนได้ผลประโยชน์มากกว่าหรือทําให้บางคนเสียผลประโยชน์ก็เป็นการกระทําที่ไม่มีจริยธรรมตัวอย่างเช่นหัวหน้าประเมินผลการปฏิบัติงานลูกน้องอย่างไม่ยุติธรรมโดยประเมินให้ลูกน้องที่ชอบได้มีผลประเมินที่ดีกว่า และใช้ผลการประเมินเป็นตัวกําหนดรางวัลตอบแทน เป็นต้น
อย่างไรก็ตามการตัดสินว่าการกระทําใดมีจริยธรรมเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากโดยเฉพาะกับผู้บริหารผู้ที่มีอํานาจในองค์การเนื่องจากผู้มีอํานาจมักจะอ้างว่าการกระทําของตนนั้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและเป็นไปตามเป้าหมายขององค์การไม่ได้ก้าวก่ายสิทธิของใครและทําไปอย่างยุติธรรมมีความเท่าเทียมกันซึ่งในทางปฏิบัติแล้วผู้ที่มีอํานาจมักเป็นผู้ที่จะกระทําขัดกับจริยธรรมมากกว่าพนักงานทั่วไปที่ไม่มีอํานาจดังนั้นผู้บริหารที่มีอํานาจควรพิจารณาการกระทําของตนเองตามความเป็นจริงให้ดีเกี่ยวกับ 3 ประเด็นข้างต้นว่า เป็นการกระทําอย่างมีจริยธรรมหรือไม่


รุป
1. การจัดการ (Management) หมายถึง ขบวนการที่ทําให้งานกิจกรรมต่างๆสําเร็จลงได้อย่าง มีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลด้วยคนและทรัพยากรขององค์การ
2. ผู้จัดการ (Manager) หมายถึง ผู้ที่ทํางานร่วมกับหรือทําโดยผ่านพนักงานอื่นๆ ให้เกิดการประสานงาน เพื่อให้กิจกรรมต่างๆขององค์การสําเร็จตามเป้าหมายที่กําหนด การเปลี่ยนแปลงขององค์การในปัจจุบัน ทําให้บทบาทของผู้จัดการต้องปรับเปลี่ยนไป ไม่มีเส้นแบ่ง ระหว่างผู้จัดการ กับ พนักงาน อย่างชัดเจน
3. ประสิทธิภาพ หมายถึง การทํางานอย่างถูกวิธี เป็นการเปรียบเทียบระหว่างปัจจัยนําเข้า (inputs) กับผลผลิต (outputs) หากเราสามารถทํางานได้ผลผลิตมากกว่าในขณะที่ใช้ปัจจัยนําเข้าน้อยกว่า หรือ เท่ากัน ก็หมายความว่า เราทํางานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า ส่วนประสิทธิผลในการจัดการหมายถึง การทําได้ตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงคที่กําหนดไว้ นั่นคือ ประสิทธิภาพจะเน้นที่วิธีการในการปฏิบัติงาน ส่วนประสิทธิผลจะเน้นที่ผลลัพธ์ที่เกิดจากการปฏิบัติงาน
4. ขบวนการจัดการ (management process) ประกอบด้วย กิจกรรมที่สําคัญ 4 ประการ ได้แก่
1) การวางแผน (planning) เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกําหนดเป้าหมาย และวางกลยุทธ์ รวมทั้งแผนปฏิบัติการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ
2) การจัดองค์การ (organizing) เป็นการจัดวางโครงสร้างองค์การเพื่อรองรับการดําเนินงานตามแผนที่วางไว้
3) การโน้มนํา (leading/influencing) เป็นการจูงใจ โน้มนําพนักงานรายบุคคลและกลุ่ม ให้ปฏิบัติงาน มีการติดต่อสื่อสาร รวมถึงการรับมือกับประเด็นต่างๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของพนักงานในองค์การ และ
4) การควบคุม (controlling) เป็นกิจกรรมเกี่ยวกับการติดตามประเมินผลงาน เปรียบเทียบกับเป้าหมาย หรือมาตรฐานที่กําหนดไว้ และทําการแก้ไข เพื่อให้ผลการดําเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย หรือมาตรฐานที่กําหนดไว้
5. ทักษะที่จําเป็นของผู้บริหาร ได้แก่ ทักษะด้านเทคนิค (technical skills) ทักษะด้านคน (human skills) และทักษะด้านความคิด (conceptual skills) ผู้บริหารในระดับต่างๆ ต้องการทักษะในแต่ละด้านแตกต่างกัน ผู้บริหารระดับสูงจะต้องการทักษะด้านความคิดสูงกว่าผู้บริหารระดับต้น และผู้บริหารระดับต้นจําเป็นต้องมีทักษะด้านเทคนิคมากกว่าผู้บริหารระดับสูง ส่วนด้านทักษะเกี่ยวกับคนนั้นจําเป็นสําหรับทุกระดับ
6. ผู้บริหารมักเป็นผู้ที่มีอํานาจในองค์การ และอาจใช้อํานาจในทางที่ขัดกับหลักจริยธรรม คือ ไม่ได้ใช้อํานาจเพื่อประโยชน์ส่วนรวม หรือเป็นไปตามเป้าหมายขององค์การ หรือใช้อํานาจซึ่งก้าวก่ายสิทธิอันชอบธรรมของผู้อื่น
ตัวอย่างทฤษฎีองค์กรและการจัดการ
ของบริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด


บริษัทกิฟฟารีนสกายไลน์ยูนิตี้จำกัดก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่17มีนาคม2539จากความมุ่งมั่นของคณะแพทย์และเภสัชกรไทยที่ตั้งใจจะนำความรู้ความสามารถและประสบการณ์อันยาวนานในการค้นคว้าและวิจัยมาพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพเพื่อคนไทยอันได้แก่ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน โดยมีวัตถุประสงค์จะนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพเหล่านี้ในราคาที่ยุติธรรม ผู้บริโภคสามารถซื้อใช้ได้อย่างต่อเนื่องภายใต้ชื่อGiffarineซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดผลิตจากโรงงานในกลุ่มบริษัทกิฟฟารีน ที่ได้รับมาตรฐานการผลิตระดับสากล มีการรับรองที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ด้วยการยึดถือหลักแห่งปรัชญา คือ ความจริงใจและความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง
        จวบจนทุกวันนี้นับเป็นเวลาเกินกว่าทศวรรษที่กิฟฟารีนได้เติบโตเคียงคู่สังคมไทย เป็นที่รู้จักและยอมรับของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศด้วยการดำเนินธุรกิจขายตรงระบบหลายชั้น MLM (Multi-Level Marketing) ที่มีระเบียบแบบแผนชัดเจน ประกอบกับแผนการตลาดที่ดีเยี่ยม และระบบการจ่ายผลตอบแทนที่ยุติธรรมถูกต้องตามกฎหมายพร้อมทั้งประกันอุบัติภัยอันนำมาซึ่งความมั่นคงและความสำเร็จมาสู่นักธุรกิจกิฟฟารีนและครอบครัว
ปัจจุบันบริษัทกิฟฟารีนมีศูนย์บริการทั้งหมด96แห่งทั่วประเทศเพื่อรองรับนักธุรกิจเครือข่ายกว่า 300,000 คน และสมาชิกผู้บริโภคกว่า 5,000,000 คน นอกจากการขยายเครือข่ายสมาชิกในประเทศแล้ว กิฟฟารีนยังได้ส่งออกสินค้าไปยังกว่า 30 ประเทศทั่วโลก อาทิ ออสเตรเลีย ฮ่องกง เกาหลี เยอรมนี สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น เป็นต้น อีกทั้งยังมีนโยบายเชิงรุกในการขยายธุรกิจในรูปแบบMLMในภูมิภาคเอเชียผ่านการให้ใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจปัจจุบันบริษัทได้ดำเนินธุรกิจเครือข่ายในประเทศพม่ามาเลเซียราชอาณาจักรกัมพูชาและอยู่ในระหว่างการเจรจาธุรกิจกับอีกกว่า5ประเทศคาดว่าจะสามารถก้าวขึ้นเป็นธุรกิจเครือข่ายของคนไทยที่แผ่ขยายครอบคลุมกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ในไม่ช้า


-  กิฟฟารีนเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคมายาวนานกว่า 13 ปี
- ธุรกิจเครือข่ายกิฟฟารีนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องประมาณ 10 เปอร์เซนต์ทุกปี
-  กิฟฟารีนมีผลิตภัณฑ์คุณภาพกว่า 2,000 รายการที่ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ และทุกกลุ่มเป้าหมาย มีราคายุติธรรมทำให้ผู้บริโภคซื้อใช้ได้อย่างต่อเนื่อง
-มีเครือข่ายสมาชิกรองรับอยู่แล้วทั้งสมาชิกนักธุรกิจกว่า300,000คนและสมาชิกผู้บริโภคอีกกว่า5 ล้านคนอีกทั้งยังมีอัตราการสมัครสมาชิกผู้บริโภคมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกเดือนมีทีมงานบริหาร ศูนย์ธุรกิจที่มีประสบการณ์และความชำนาญสูงดูแลและให้คำแนะนำในการดำเนินกิจการตลอดอายุสัญญา
- มีการจัดอบรม ให้ความรู้แก่ไลเซนส์ซีทั้งภาคทฤษฏีและปฏิบัติ
-สินค้าผลิตโดยโรงงานบริษัทในเครืออันมีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยได้รับมาตรฐานการผลิต ระดับสากลทำให้สามารถพิถีพิถันในการคัดสรรวัตถุดิบควบคุมการผลิตได้ในทุกขั้นตอนตลอดจนใส่ใจในการพัฒนา-วิจัยผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในความสนใจของตลาดสามารถควบคุมราคาปลายทางให้มี ความยุติธรรมเพื่อผลประโยชน์สูงสุดแก่ผู้บริโภค
-  ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้รับการพัฒนาสูตรให้เหมาะกับสภาพผิวคนไทยและคนเอเชียโดยเฉพาะ
-  มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย โฆษณา ประชาสัมพันธ์ในสื่อทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง
- มีระบบการจัดการสินค้าคงคลังและการขนส่งสินค้าที่ทันสมัยรวดเร็วครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
-  ควบคุม-ดูแลศูนย์ธุรกิจให้ดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกสบายด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อการบริหารร้านโดยเฉพาะ
ศักยภาพของบริษัท
ผลิตภัณฑ์ (Product)
ที่ใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุดผลิตในโรงงานในเครือที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดปรับสูตรของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับผิวพรรณและสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยและสามารถจำหน่ายในราคาปลายทางที่ไม่สูงจนเกินไปดังนั้นคนไทยส่วนใหญ่จึงสามารถใช้หมดแล้วซื้อซ้ำได้เป็นผลให้มีการเพิ่มจำนวนการจำหน่ายสินค้ามากขึ้นทุกปี ดังนั้น จึงเป็นศักยภาพที่จะเพิ่มจำนวนการขายให้มากขึ้นในอนาคต
แผนธุรกิจ
ให้ผลประโยชน์มากที่สุดในธุรกิจเครือข่าย ปัจจุบันคือถึง 47-50 % ของราคาสมาชิก โดยเฉลี่ยผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมชาติในนักธุรกิจระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง ทำให้โครงสร้างของเครือข่ายแข็งแรงมั่นคงในระยะยาว
การบริการ
ที่เอื้อประโยชน์ให้นักธุรกิจเครือข่าย ทำงานได้โดยไม่มีภาระและความเสี่ยง จากศูนย์ธุรกิจกว่า 97 สาขาทั่วประเทศและนักธุรกิจสามารถสร้างความเติบโตได้จากห้องประชุมของศูนย์ธุรกิจโดยไม่มี ค่าใช้จ่าย
การบริหารจัดการ
ที่มีประสิทธิภาพจากผู้บริหารที่มีประสบการณ์ขายตรงโดยเฉพาะ
นโยบายของบริษัทที่รองรับการเติบโตในระยะยาว
การโฆษณาและประชาสัมพันธ์มีการจัดทำอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างภาพลักษณ์การยอมรับและจดจำในตราสินค้า(Brand)ให้โดดเด่นอยู่ในใจของผู้บริโภคตลอดจนประชาชนทั่วไปซึ่งบริษัทฯเชื่อว่าหากตราสินค้าเป็นที่ยอมรับจะส่งผลให้นักธุรกิจอิสระกิฟฟารีนทำงานได้ง่ายและเป็นการรองรับการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวอีกด้วย
การคืนกำไรสู่สังคม
ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้แก่สังคมและประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็น การมอบทุนการศึกษา หรือ การสนับสนุนกิจกรรมขององค์กรการกุศลต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
วิสัยทัศน์
เราจะก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งด้วยเจตนารมณ์อันแน่วแน่ที่จะนำมาซึ่งความมั่นคงและความสำเร็จสูงสุด เพื่อชีวิตที่ดีและมีคุณค่ามากขึ้นในสังคม ให้กับสมาชิกกิฟฟารีนตลอดไป
ประธานกรรมการ
พ.ญ. นลินี ไพบูลย์  Dr.Nalinee Paiboon, MD.Presiden
สถานที่ตั้งสำนักงาน
36/1 ซ.อารีย์สัมพันธ์ 11 ถ.พระราม 6 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม.10400


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น