วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

เศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม (The Industrial Economists)
ความหมายของอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรม หมายถึง การผลิตสิ่งของ ตลอดจนการแยกเอาแร่ธาตุมาใช้ประโยชน์ เพื่อ
จำหน่ายเป็นสินค้าต่อไป ซึ่งการผลิตสิ่งของนั้น เป็นการนำเอาวัตถุดิบจากธรรมชาติ มาแปรสภาพ
ให้มีมูลค่าเพิ่ม หรือใช้ประโยชน์เป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป หรือเครื่องอุปโภคบริโภค โดยมีวัตถุดิบ
คนหรือเครื่องจักร เป็นอุปกรณ์ในการผลิต ส่วนการแยกแร่ธาตุมาใช้ประโยชน์จะรวมถึง การขุดแร่
การตกแต่ง และการถลุงแร่ด้วย
นักเศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม
นัก : บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ
เศรษฐศาสตร์ : วิชาที่ว่าด้วยการเลือกหนทาง ที่จะใช้ปัจจัยการผลิตที่มีอยู่อย่างจำกัด
ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ที่มีอยู่อย่างไม่จำกัด
อุตสาหกรรม : การแปรสภาพ หรือกระบวนการผลิตซึ่งเป็นการนำวัตถุดิบจาก
ธรรมชาติมาแปรสภาพให้เป็นสินค้า โดยก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่ม แจกแจงออกเป็นค่าแรง ผลกำไร
ดอกเบี้ย และค่าเช่า ซึ่งนำไปสู่การจ้างงาน และการบริโภคเพิ่มขึ้น
นักเศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม หมายถึง ผู้ประมวลโครงการต่างๆ ในการเลือกวิเคราะห์
ความเป็นไปได้ และเป็นผู้ที่เสี่ยงในการลงทุน โดยหวังผลตอบแทนในรูปของกำไร เป็นผู้รวบรวม
ความคิด ระดมเงินทุน และปัจจัยการผลิต เพื่อผลิตสินค้าออกมาขาย และต้องเป็นผู้ที่มี
ความสามารถในการประกอบการด้วย หรือหมายถึงบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่งศึกษาถึง
วิธีการต่างๆที่จัดสรรวัตถุดิบจากธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด มาแปรสภาพให้เป็นสินค้า โดย
ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่ม และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์และสังคมมากที่สุด
การแบ่งประเภทอุตสาหกรรมในประเทศไทย
1. อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เป็นอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนเกิน 100 ล้านบาท มีการ
ดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านการบริหารและการผลิต ผู้บริหารทุกด้านมีเจ้าหน้าที่ ที่มี
ความสามารถเรียงลำดับลงไป มีคนงานเป็นพันคน ใช้เครื่องจักรอัตโนมัติเกือบทั้งระบบ เช่น
โรงงานถลุงเหล็ก โรงงงานเคมี เป็นต้น
2. อุตสาหกรรมขนาดกลาง เป็นอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนเกิน 10 ล้านบาทขึ้นไป ใช้
EC320 1
คนงานที่มีความสามารถดำเนินงาน มีเครื่องจักรบางส่วน และบางส่วนก็ยังใช้แรงงานคน
3. อุตสาหกรรมขนาดย่อม ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมขั้นพื้นฐาน มีการลงทุนไม่เกิน
2 ล้านบาท มีคนงานไม่มากนัก มีเครื่องจักรช่วยผ่อนแรงบ้าง เช่น โรงงานหีบห่อ โรงงานผลิต
ชิ้นส่วนรถยนต์ โรงกลึง เป็นต้น
4. อุตสาหกรรมในครอบครัว มักเป็นหัตถกรรม และทำในที่อยู่อาศัย ใช้แรงงานใน
ครอบครัว ว่าจ้างคนงานภายนอกบ้างเป็นครั้งคราว มีเครื่องมือง่ายๆ เป็นเครื่องผ่อนแรง เช่น
เครื่องปั้นดินเผา การแกะสลัก เป็นต้น
การแบ่งประเภทอุตสาหกรรมตามวิธีของการดำเนินงาน
1. อุตสาหกรรมสกัดจากธรรมชาติ (Extractive Industry) ได้แก่ การสกัด หรือแยก
ประเภท หรือนำเอาทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ เช่น การทำเหมืองแร่ การประมง การทำป่า
ไม้ เป็นต้น
2. อุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing Industry) หมายถึง การนำเอาวัตถุดิบจาก
อุตสาหกรรมที่สกัดจากธรรมชาติมาผลิตเป็นวัตถุดิบสำเร็จรูป หรือผลิตภัณฑ์ เช่น กระดาษ ผ้า เป็น
ต้น
3. อุตสาหกรรมการขนส่ง (Transporting Industry) ได้แก่ เดินเรือ การเดินอากาศ เป็นต้น
4. อุตสาหกรรมการบริการ (Service Industry) เช่น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
อุตสาหกรรมการโรงแรม เป็นต้น
การแบ่งประเภทอุตสาหกรรมตามลักษณะการใช้
1. อุตสาหกรรมสินค้าทุน (Producer Goods Industry) หมายถึง อุตสาหกรรมสินค้า
สำหรับใช้ในการผลิต สำหรับโรงงานอื่น เช่น เครื่องจักร
2. อุตสาหกรรมสินค้าบริโภค (Consumer Goods Industry) หมายถึง อุตสาหกรรมที่ผลิต
สินค้าสำหรับการบริโภค
การแบ่งประเภทอุตสาหกรรมตามสภาพ และคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์
1. ประเภทถาวร หมายถึง อุตสาหกรรมที่ทำการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีความคงทน หรือมีอายุ
การใช้งานในระยะยาว เช่น เครื่องจักร
2. ประเภทกึ่งถาวร หมายถึง อุตสาหกรรมที่ทำการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีอายุการใช้งานใน
ระยะสั้น เช่น หลอดไฟ เสื้อผ้า ดินสอ ฯลฯ
EC320 2
3. ประเภทไม่ถาวร หรือประเภทใช้สิ้นเปลือง หมายถึง อุตสาหกรรมที่ทำการผลิต
ผลิตภัณฑ์เพื่อใช้งานเพียงครั้งเดียวก็แปรสภาพไป ไม่อาจนำมาใช้ประโยชน์ได้อีก เช่น
อุตสาหกรรมสำเร็จรูป อุตสาหกรรมปิโตรเคมี
การแบ่งประเภทอุตสาหกรรมตามลำดับ
1. อุตสาหกรรมเบื้องต้น (Primary Industry) เป็นการผลิตซึ่งใช้วัตถุดิบสำหรับใช้
ประกอบอย่างอื่น
2. อุตสาหกรรมที่สอง (Secondary Industry) คือ การนำเอาวัตถุดิบจากอุตสาหกรรม
เบื้องต้นมาทำการผลิตเป็นสินค้า
3. อุตสาหกรรมที่สาม (Tertiary Industry) ได้แก่ กิจกรรมด้านการบริการ
การแบ่งประเภทอุตสาหกรรมตามขนาด
1. อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ (Large Industry) หมายถึง อุตสาหกรรมที่ใช้เงินทุนเป็น
จำนวนมาก จะต้องมีเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ความสามารถ และมีคนงานจำนวนมาก ได้แก่
อุตสาหกรรมถลุงเหล็กกล้า อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์
2. อุตสาหกรรมขนาดกลาง (Medium Scale Industry) เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เงินทุนน้อย
กว่าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่ต้องใช้คนที่มีความรู้ความสามารถโดยเฉพาะ คนงานอาจมีจำนวน
มาก หรือน้อยแล้วแต่ขนาดการผลิตอุตสาหกรรมนั้นๆ ได้แก่ อุตสาหกรรมประกอบรถยนต์
อุตสาหกรรมทอผ้า
3. อุตสาหกรรมขนาดย่อม (Small Scale Industry) เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เงินทุนน้อยกว่า
อุตสาหกรรมขนาดกลาง และขนาดใหญ่
4. อุตสาหกรรมในครอบครัว (Cottage Industry) เป็นอุตสาหกรรมที่ทำในครอบครัว ใช้
แรงงานภายในครอบครัวเป็นส่วนใหญ่ เช่น ผลิตเครื่องปั้นดินเผา จักสาน เครื่องเงิน
5. อุตสาหกรรมหัตถกรรม (Handicraft Industry) เป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตโดยช่างฝีมือ
เพียงคนเดียว หรือลูกจ้างอีกราวๆ 2-3 คน ไม่มีการแบ่งงานกันทำ ได้แก่ ช่างปั้น ช่างตีเหล็ก และ
ช่างฝีมืออื่นๆ
ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมของนักอุตสาหกรรม
1. ปัญหาทางด้านการเงิน เนื่องจากสถาบันการเงินภายในประเทศมีไม่เพียงพอ และ
สถาบันการเงินที่มีอยู่มีอัตราดอกเบี้ยสูง อัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอน ทำให้
เกิดการเสี่ยงในการลงทุน
2. ปัญหาด้านเทคโนโลยี เนื่องจากอุตสาหกรรมในประเทศขาดแคลนเทคโนโลยีที่
ทันสมัย ส่วนใหญ่เป็นเทคโนโลยีแบบเก่า ทำให้ขาดประสิทธิภาพในการผลิต การใช้แรงงาน
ค่อนข้างต่ำ และไม่มีความเข้าใจด้านเทคนิคเพียงพอ ต้องว่าจ้างชาวต่างชาติในการถ่ายทอดเทคนิค
EC320 3
3. นโยบายของรัฐบาล มีความผันผวนทางการเมืองอยู่เสมอ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
เช่น การลงทุน การวางแผนโครงการ และบางครั้งถึงกับทำให้ธุรกิจเกิดการลงทุนในที่สุด เช่น การ
ลดค่าเงิน และนโยบายด้านอุตสาหกรรมที่กำหนดออกมาก็ไม่เจาะจงให้แน่ชัด และมีการ
เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลชุดใหม่ ไม่มีหลักประกันแก่ผู้ประกอบการ
ธุรกิจว่าจะไม่โอนกิจการเป็นของรัฐ หรือรัฐจะผลิตสินค้าออกมาแข่งขันกับเอกชน ทำให้ผู้ประ-
การไม่กล้าตัดสินใจลงทุน
4. รสนิยมของผู้บริโภค ถ้าการผลิตของประเทศไม่เพียงพอกับผู้บริโภค และคุณภาพไม่ดี
พอ เป็นผลให้คนส่วนใหญ่นิยมของจากต่างประเทศ เพราะมักคิดว่าของต่างประเทศดีกว่าสินค้าที่
ผลิตในประเทศ ซึ่งเป็นการปลูกฝังค่านิยมชมชอบว่าเป็นคนใช้ของนอก
5. ความขัดแย้งกันเองภายในวงอุตสาหกรรม มีการแข่งขันทางด้านการค้า โดยมีการตัด
ราคากันเองเพื่อแย่งตลาด การลดราคาการแข่งขันทำให้บริษัทต่างๆ ต้องขาดทุนและล้มเลิกกิจการ
ไปในที่สุด ความขัดแย้งทางด้านนโยบายไม่ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน
6. การกระจายอุตสาหกรรม หรือความคิดความเข้าใจในอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมส่วน
ใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเลียนแบบ ไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตนเอง การทำอุตสาหกรรมก็มีขอบเขต
จำกัด แนวคิดที่ปรับปรุงศึกษาไม่มี ไม่คำนึงถึงความเหมาะของอุตสาหกรรมนั้นๆ ไม่มีการวางแผน
อุตสาหกรรม
7. การขาดแคลนกำลังคนในภาคอุตสาหกรรม การขาดแคลนแรงงานที่มีความรู้ ความคิด
ริเริ่มทางด้านอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่มีรสนิยมในการรับราชการ ไม่มีความรับผิดชอบงาน ไม่มีการ
ฝึกให้เกิดความรับผิดชอบ ยกย่องบารมีมากกว่าคุณธรรม
8. การขาดแคลนปัจจัยพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ การสาธารณูปโภคต่างๆ ไม่ได้
เอื้ออำนวยความสะดวกแก่อุตสาหกรรมอย่างเพียงพอ เช่น ถนน ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ เป็นต้น
9. ขาดแคลนวัตถุดิบ อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ต้องพึ่งวัตถุดิบ เครื่องจักร อุปกรณ์ น้ำมัน
เชื้อเพลิงจากต่างประเทศในอัตราค่อนข้างสูง ซึ่งทำให้เกิดปัญหาขาดดุลการค้ามาตลอด
10. ปัญหาการกระจุกของอุตสาหกรรม ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียแก่ผู้ลงทุน เพราะต้องลงทุนใน
ต่างจังหวัด ก็มีปัญหาทางด้านคมนาคมขนส่ง ตลาดแรงงาน และตลาดผู้บริโภค ดังนั้นการที่จะเกิด
การกระจุกตัวอยู่แต่กรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง จะไม่เกิดการพัฒนาประเทศไปสู่ภูมิภาค ส่วน
ด้านผู้ลงทุนเองก็ไม่กล้าเสี่ยงในการลงทุนในส่วนภูมิภาค แม้ว่าจะอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ
EC320

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น